Saturday, June 24, 2006

ชีิวิตกับการออกแบบ

หลายข้อคิดติดมาจากการได้ดูหนัง
หนังทุกเรื่องน่าจะเกิดจากต้นตอความคิดที่อยากถ่ายทอด
มากน้อยแล้วแต่ผู้กำกับและนายทุน
แต่จะน่าจำไหมนั่นมันอีกเรื่อง
ยกตัวอย่าง ข้อคิดที่มักได้จากหนังรักกุ๊กกิ๊ก
การไปจีบหญิงทั้งๆที่มีแฟนที่แสนดีอยู่แล้ว เป็นสิ่งไม่ดี
อาจทำให้เรา จัดคิวลำบาก ปวดกบาล รู้สึกผิด และไม่อยากทำอีก
(เหมือนเคยทำ แต่ไม่เคยนะครับหมู)

ข้อคิดจากหนังน่าจำหรือไม่น่าจำเอาอะไรมาวัด
ไม่ยาก
ถ้ามันน่าจำ เราก็จะจำ ไม่ว่าดูหนังนั้นไปนานแค่ไหนแล้ว
แม้จะลืมรายละเอียดในหนังไปแล้ว แต่เรายังจำความคิดหลักๆนั้นอยู่

MY ARCHITECT (2003) ไม่ใช่หนังที่ผมชอบที่สุด
แต่เป็นหนังที่ผมอยากให้เพื่อนๆที่มีอารมณ์ดีๆและมีเวลาว่างได้นั่งดู
เข้าไปดูแว็บๆได้ในเว็ปนี้
www.myarchitectfilm.com
เสื้อสวย ถึงจะใส่ไม่พอดี ก็ยังเป็นเสื้อสวยวันยันค่ำ

ไม่ขอเล่าเรื่องหนังมาก เอาเป็นว่าหนังน่าดู ก็ไปหาดูกันเอาเอง
ถ้าขี้เกียจหาเอง ยืมผมก็ได้ เดี๋ยวให้ยืม

หนังเป็นเรื่องของสุดยอดสถาปนิกคนนึงชื่อ Louis I. Kahn.
ลูกชายลับๆของเขาเป็นผู้กำกับ และพยายามสืบหาเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อของเขาคนนี้
มีอยู่คนนึงที่เขาไปสัมภาษณ์ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเขาเป็นเพื่อนกับพ่อเขาได้ยังไง
เป็นสถาปนิกด้วยกัน หรือเปล่าเจ้าของบ้านที่ว่าจ้างคาน หรือเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือลูกจ้าง

ผู้กำกับถามว่าคานสอนอะไรให้กับเขา
เขาตอบทันที ว่าคานสอนบทเรียนที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้กับเขา
คานสอนให้เขารู้จักการออกแบบชีวิต

ผมดูหนังเรื่องนี้สามรอบ รอบแรกดูในโรงกับทู (ไม่มีซับไทเทิ้ล แน่นอน ไม่ค่อยรู้เรื่อง)
รอบที่สองดูจากดีวีดีคนเดียว (เพราะอยากรู้เรื่อง ในดีวีดีมันซับ)
รอบที่สามดูจากดีวีดีแผ่นเดิมกับอาจารย์ (เพราะอยากให้อาจารย์ได้ดูเรื่องนี้)
รู้สึกว่าคำตอบนี้มันโดนก็ตอนที่ดูหนังเรื่องนี้รอบที่สองนี่แหละ
มันโดนเพราะมันตอบคำถามบางอย่างที่มันค้างอยู่ในหัวเรามานานแล้ว
ทำไมผมถึงชอบการออกแบบ ทำไมผมถึงรู้สึกชอบความคิดของคนที่ทำงานออกแบบเหมือนกัน
เคยนึกเหมือนกันว่ามาอาจจะเกิดจากการที่คนทำงานด้านนี้ ถูกฝึกให้มีเหตุผลมารองรับความคิด
และต้องสื่อสารความคิดนั้นให้กับลูกค้าให้เข้าใจได้ด้วย ดังนั้นผมจึงเข้าใจเขาได้ง่าย และ
ไม่มีคำตอบอย่าง "ไม่รู้ ก็มันเป็นอย่างนี้เอง ก็ดี" ให้ฟังแล้วอารมณ์ค้าง
เมื่อได้ยินคำตอบนี้จากหนังเรื่องนี้แล้วทำให้เราดีใจที่เราได้เดินมาในทางสายออกแบบ

เพื่อนคนนึง เป็นคนเรียนดีมาแต่ไหนแต่ไร
ได้ทุนระดับประเทศไปเรียนที่มหาวิทยาลัยดังในต่างประเทศ
จนได้เป็นด๊อกเตอร์
ผมก็ดีใจไปกับเขาด้วย เพราะเดาได้ว่าคนเก่งอย่างนี้ก็น่าจะเป็นอย่างนี้
ถามเขาว่าแล้วต้องกลับไปเป็นอาจารย์ เคยคิดอยากเป็นอาจารย์เหรอ
เขาก็ตอบว่า บังเอิญเขาเรียนมาทางนี้ ได้ทุนมาขนาดนี้ มันก็ต้องใช้ทุน
และมันก็ต้องมาเป็นอาจารย์ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ

ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบเพื่อน เพื่อนคนนี้เป็นคนดี ใครๆก็รู้
ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าเพื่อนคิดสั้น
ผมมั่นใจว่าเขาคงมีแผนชีวิตแน่ๆ ไม่งั้นเขาคงไม่เดินมาถึงขนาดนี้
แต่เฉพาะคำตอบของเขา ไม่รวมว่าเบื้องหลังแล้วจริงๆเขาคิดยังไง
เอาเฉพาะตรงคำตอบ เขาทำให้ผมคิดว่า
แล้วจริงๆแล้วเขาอยากเป็นอย่างที่เป็นอยู่หรือเปล่า
เป็นอาจารย์ เป็นด๊อกเตอร์ เป็นผู้เชี่ยวชาญ แน่นอนก็ต้องมีคนนับถือ
มีเงิน มาอะไรอื่นๆตามมามากมาย จะว่าไปมันก็เป็นชีวิตที่ดีอยู่
แต่มันเป็นอย่างที่เขาเคยอยากให้เป็นมาก่อนหรือเปล่า
หรือว่าไม่เคยอยากเลยด้วยซ้ำ

เวลาออกแบบ ใช่ว่าทุกครั้งมันจะเป็นได้ดังใจ
ต้องมีบิดเบี้ยว เติมเสริม มีการทดลองกันบ้าง
มันก็มีความคิดลูกค้า หรือของคนโน้นคนนี้มาเสริม
จนบางครั้งไอ้ชิ้นสุดท้ายออกมาแทบจะจำกันไม่ได้
ไม่อย่างนั้น แบบมันก็เกิดจากความคิดแรกเพ๊ะๆ
ระหว่างขั้นตอนการทำแบบ มันก็ต้องมีสะดุด
มีทดลองอะไรโน่นนี่บ้าง เป็นรสชาติแก้เบื่อ
ให้สนุกกับการออกแบบ
แต่อย่างไร รากมันก็ยังออกมาจากคนคนนั้น
ยังมีราก รู้ขั้นตอน พัฒนาเดิบโตมาตามเวลา

การรู้ว่าอยากให้ตัวเองเป็นคนแบบไหน อยากให้ใครรู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน
อยากเดินไปทางไหน อยาก เป็น อะไร ก็เป็นการออกแบบอยู่อย่างนึง
พรุ่งนี้เช้าจะใส่เสื้อตัวไหน สำหรับงานแบบไหน ก็เป็นการออกแบบ
ร่างสเก็ตช์ ลงมือทำ อยากให้เป็นยังไงก็ทำ เดินหน้าให้เป็นอย่างที่เราคิด
ส่วนเรื่องผลสำเร็จนั้น ให้ตอบตรงๆ ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะสรุปแบบกันเมื่อไหร่
ตัวใครตัวมัน
คงต้องคอยตรวจสอบกันเรื่อยๆว่า เดินมาตามแบบหรือยัง หลุดไปแค่ไหนแล้ว

อาจารย์อีกคนนึง bob gill เคยสอนว่า
การออกแบบ คือ การจัดการ
เขาไม่ได้บอกว่าการออกแบบคือการเสนองานขายลูกค้าให้ได้

ออกแบบชีวิต ไม่ต้องรอดวง ไม่ต้องรอสิ้นเดือน
ผมเองก็ลุ้นของผมอยู่ ตอนนี้อยู่ในช่วงทดลอง
ไม่ซีเรียสครับ ไม่มีตัวป่วน
เพราะออกแบบเอง ลูกค้าก็คือตัวเอง
สบายๆ ขายได้ ทำได้เลย

4 comments:

vok89 said...

ผมว่าไม่มีใครรู้หรอกว่าจริงๆแล้วเราอยากทำอะไรกันแน่ เพราะชีวิตมันสั้นกว่าจะได้ลองผิดลองถูกมากมายนั้

เท่าที่เห็นมา คนส่วนมากที่ชอบบอกว่า ตัวเองมาถูกทางในสายวิชาชีพแล้ว วิชาชีพตัวเองเยี่ยมสุดๆแล้ว มักเป็นคน โชคดีมากมากที่ฝ่าฟันจนพูดคำคำนี้ออกมาได้ หรือไม่ก็ต้อง เป็นคนที่หมกมุ่นกับตัวเองมากมาก จนไม่มองอะไรนอกจากสิ่งที่อยากเห็นอีกแล้ว

เหมือนชาตินี้กินอาหารได้อย่างเดียว แล้วดันเลือกมาจานนึงบอกว่า นี่แหล่ะตัวฉัน...

ผมว่า มันทะแม่งๆอ่ะ

Unknown said...

เออ จริงครับ เห็นด้วยๆ
แม่ผมก็ไม่ได้จบออกแบบเหมือนกันครับ
แต่แม่ก็ออกแบบชีวิตแม่
แล้วก็ออกแบบชีวิตผมด้วย

Tig said...

เพื่อนมึงอาจจะเขินก้อได้นะ ที่ตอบว่าไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นอาจารย์น่ะ เพราะตัวเค้าอาจจะไม่ได้มีทีท่ามาก่อนว่าอยากจะเป็นอาจารย์ เหมือนที่มึงเป็นนักแต่งเพลงรักหวานซึ้งแต่ไม่เคยบอกกูไง

LekParinya said...

กูโครตชอบเลยหว่ะ เรื่องนี้
ถือเป็น หนังสารคดีในดวงใจเลย
มิใช่เพราะ ชอบที่เป็นนักออกแบบ

แต่ชอบที่เรื่องนี้ สอนให้เรารู้จักคำว่า
"มุฑิตาจิต"

ลองมองรอบตัวดูดิ
หามุมมองดีๆ จะเห็นว่า
"หลุยส์ ไอ คาห์น" เต็มไปหมด

อาจารย์ในมหาลัย รุ่นพี่ หรือแม้แต่เพื่อนเราเอง

อยากให้มีหนังแนวนี้ กับสถาปนิกไทย หรือนักเขียนไทยบ้าง
ให้คนไทยได้รู้จัก "ชื่นชมกันเอง" ซะบ้าง

ยิ่งวงการออกแบบ แทบจะกิน จะกัดกันเอง
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าเราไปไม่ถึงไหนซะที

ตอนดูเรื่องนี้อยู่ในโรงหนัง มีแต่คนแก่ ๆ
ตอนมี แฟรงค์ แกรี่, ไอ เอ็ม เปย์,ฟิลิป จอนห์สัน
ออกมาพูด
คนแก่ๆ พวกนั้นรู้จักกันหมดเลย
(บางคนกูจำหน้าไม่ได้ ก็ได้พวก ป้าๆ พวกนี้ เป็นซับให้)

เคยคุยกับคนขับแท๊กซี่ มาจากบังคลาเทศ
เขาภูมิใจในอาคาร City Hall เขานะ
เขาเล่าว่า เขาไป"เที่ยว"ชมบ่อยๆ ตอนเด็กๆ
สำคัญกว่านั้น เขารู้จัก
"หลุยส์ ไอ คาห์น"

ถามตัวเองดูสิว่า
คนไทยกี่คนรู้จักคนออกแบบ "วัดเบญจมบพิตร"
หรือ "พระที่นั่งอนันต์ฯ"

น่าภูมิใจนะ
ถ้าเราทำงานออกแบบ หรือทำอะไรก็ตาม
แล้วได้รับการพูดถึง ยกย่องกันข้ามโลกแบบนี้

ฤาจะเป็น "ชีวิตอมตะ" ที่มนุษย์ใฝ่หา

ว่าแล้วก็หา DVD ในอีเบย์ดีกว่า