Sunday, June 11, 2006

แจ๊สเฟซ จุดพลุ งานแต่ง และพลเลิศ

เริ่มที่งานแจ๊สเฟซที่หัวหิน
ดีใจจริงๆที่เกิดงานอย่างนี้ขึ้น
สมัยที่ยังอยู่ที่โน่น เมืองเมทริกซ์
เราก็แอบน้อยใจว่าทำไมเมืองไทย ไม่ค่อยมีกิจกรรมร่วม
เพื่อประชาชนจะได้ทำอะไรด้วยกัน แล้วหันมายิ้มให้กันบ้าง

กลับมานี่ ก็พบว่า มีกิจกรรมเพิ่มมากขึ้นเยอะ
ทั้งที่มีขึ้นมาใหม่ๆ อย่างแจ๊สเฟซนี่
และทั้งพวกที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่เคยรู้ หรือไม่เคยใส่ใจจะไปร่วม
เช่น จุดพลุ วันเฉลิม หรือถ้าจะนับการเดินขบวนไล่มันออกไป
เป็นกิจกรรมร่วมด้วยก็ได้

อยากสารภาพว่า อย่างจุดพลุ ฉลอง 60 ปีในหลวงนี่
ก็ไม่ได้คิดว่าจะไปหรอก แต่ไปเพราะเพื่อนทูเขาชวน
เราก็เออออ (อ่านว่า เออ-ออ แต่เขียนติดกันอย่างนี้แล้วตลกดีแฮะ)
พอไปแล้ว ถึงคนจะเยอะ อากาศจะร้อน รถจะติด
แต่ก็ทำให้เห็นบ้านเมืองเป็นอีกแบบ แบบไหนเหรอ
นึกวิธีมาอธิบายไม่ถูก
รู้สึกเหมือนเรากำลังอยู่ประเทศไทย ขึ้นรถไฟคนแน่นเบียดเสียด
คนก็พูดกันภาษาไทย
ทุกคนก็หัวดำ อากาศก็ร้อน มีเหม็นกลิ่นโน่นกล่ินนี่
แต่รู้สึกว่านี่แหละเมืองไทย บ้านเรา

ใครถามรักชาติไหม ก็ไม่ได้ขนาดนั้น
ส่องกระจกดู เห็นกรามๆ หน้าแบนๆ จมูกบี้ๆ หัวดำๆ
อ้าวคนไทยนี่หว่า ให้ไปรักประเทศอื่นคงประหลาด
ไม่ได้ดีไม่เท่าเขา เราดีไม่เหมือนเขา
ชอบใจบ้างไม่ชอบบ้าง ก็บ้านเรานี่หว่า
ร่วมได้ก็ร่วม ช่วยได้ก็ช่วย พัฒนาตัวเราเองก็คือวิธีพัฒนาชาติอย่างนึง
ส่องกระจกบ่อยๆแล้วกัน จะได้ไม่ลืม หลงว่าตัวเองเป็นนิวยอร์กเกอร์
ผมคนไทย คุณถ้าอ่านภาษาไทยได้ขนาดนี้ ก็คนไทยเหมือนกันแหละ

เออนั่นแหละ นอกเรื่อง กลับมาที่แจ๊สเฟซดีกว่า
อยากจะบอกว่า เพลงเพราะจัง
มีข้อสงสัยอยู่อย่าง
ทำไมฟังวงไทยเล่น เพลงก็เข้าหูกว่า ฝีมือก็ไม่ได้แย่กว่า
แต่มันรู้สึกไม่สะใจไปถึงข้างใน
ในขณะที่วงฝรั่ง ฟังยากกว่า แต่มันช่างสะใจ แน่นปึ๊ก

เพื่อนนักดนตรีบอกว่า มันอาจเป็นที่การเตรียมเครื่องเสียง
การแบ่งหน้าที่ และหน้าตาของนักดนตรีเอง เวลาไหนใครเด่น ไม่แย่งกันเด่น
อันนี้ก็มีส่วน อาจจะจริง

วันนี้ไปงานแต่งงานของเพื่อนสมัยคริสเตียนมา
ฟังเขาพูดบนเวทีแล้วแอบยิ้ม ประทับใจทั้งเพื่อนและเจ้าสาวของเพื่อน
งานนี้เพื่อนคงทุ่มเงินไปหลาย แต่เราก็ไม่ได้ติดใจตรงนั้น
งานเพื่อนงานนี้ทำให้เรานึกได้ว่า
งานอื่นๆ อาจจะใช้เงินอย่างนี้ หรืออาจจะมากกว่านี้
แต่ความรู้สึกในงานอาจไม่มากอย่างนี้
เพื่อนเราตั้งใจ ให้มันเป็นงานสำคัญงานนึงจริงๆ

งานแต่งงานน่าจะเป็นงานที่นอกจากจะมาบอกแขกว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวรักกันแล้ว
งานแต่งงานน่าจะเป้นงานที่ทำให้แขกมีความสุขกับการที่ได้เห้นคนรักกันด้วย
ไม่ใช่แค่ส่งข้อมูลแห้งๆ ขอความรู้สึกด้วย
ไม่ได้มีไว้แสดงศักยภาพในการหาสถานที่แสนแพง ศักยภาพในการเชิญเจ้าภาพใหญ่โต
ขึ้นมาพูดบนเวทีตามสูตรที่เคยพูดมาแล้วในงานแต่งทุกงานที่ผ่านมา

งานแต่งงานมีไว้ให้คนแบ่งปันความรู้สึก ความผูกพันธ์ของบ่าวสาว
จริงๆแล้วมันน่าจะอบอุ่น เหมือนงานที่เราได้ไปมาวันนี้
ดีใจกับเพื่อนจริงๆ และขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆที่ได้จากงาน

ระหว่างงานก็ได้เจอเพื่อนเก่าๆหลายคน
พบว่าเพื่อนหน้าตาดีขึ้น ไม่เหมือนเราที่ออกจะไปทางเสี่ยๆ (แย่จัง)
บางคนนอกจากหน้าตาดีขึ้นแล้ว ยังมีลูกแล้วด้วย
เช่นพลเลิศ
พลเลิศเป็นคนดี ดีจริงๆไม่ประชด
ดีใจกับภรรยาพลเลิศที่ได้คนดีเป็นคู่ชีวิต และดีใจกับลูกพลเลิศที่
ได้มีพ่อที่น่าภูมิใจ เอาไปอวดเพื่อนๆได้ แต่อย่าไปบอกเพื่อนๆนะว่าพ่อชื่ออะไร
(การพลาดบอกชื่อพ่อให้เพื่อนรู้นี่ ไม่ฉลาดนะหลานๆ)
พลเลิศดีแค่ไหน ผมคงไม่มาสาธยายในนี้ เอาเบอร์พลเลิศ แล้วโทรไปถามเองเลยแล้วกัน
02-545-6679
(ไม่ต้องโทรนะ เบอร์ผมมั่วเอา)

เข้าเรื่องๆ
ผมเล่าให้พลเลิศฟังเรื่องว่าทำไมวงไทย ฝีมือดีแท้ๆ แต่ทำไมฟังแล้วมันไม่ถึงกึ๋นเหมือนวงฝรั่ง (วะ)
พลเลิศก็เป้นนักดนตรี พลเลิศตอบไม่ยาว
พลเลิศบอกว่า พ่อพลเลิศ (ชื่ออะไรไม่รู้ จำไม่ได้)...
เอาใหม่ พ่อพลเลิศเคยบอกว่า ถ้าให้ฝรั่งมาเล่นดนตรีไทย มันก็เล่นได้ไม่ถึงกึ๋นเหมือนกัน
...
ชอบๆ พลเลิศ
เขาเป็นคนดี

2 comments:

Unknown said...

ไปนั่งฟังคุณเอ๊ปบ่นมานาน
ขอไปดูบอลโลกก่อนนะครับ
ถ้าแม่จับไม่ได้
จะกลับไปอ่านต่อ

Tig said...

โตเกียวสกาของญี่ปุ่น เห็นเค้าว่าเล่นแจ๋วนะ
อย่างริทึ่มแอนด์บลูญี่ปุ่นมันก็ทำถึงเลยแหละ แต่วงอะไรไม่รู้จำไม่ได้ ดูอย่างทีโบนนั่นไงเล่นดีเลย(ลองไปดูที่ร้านแซ็กโซโฟนสิ)

วงนั้นอาจจะคิดว่า งานแจ๊ซที่หัวหินต้องเล่นให้แจ๋วๆ แบบอินเตอร์ (เลยโชว์แจ๋วมากไป แล้วแจ๋วของคนไทยแปลว่าฝรั่ง(รึเปล่า))

แต่วงทีโบน โตเกียวสกา ฯลฯ อาจจะไม่ได้คิดงั้น แต่กูว่ามึงน่าจะเข้าใจนะ