Saturday, June 24, 2006

ชีิวิตกับการออกแบบ

หลายข้อคิดติดมาจากการได้ดูหนัง
หนังทุกเรื่องน่าจะเกิดจากต้นตอความคิดที่อยากถ่ายทอด
มากน้อยแล้วแต่ผู้กำกับและนายทุน
แต่จะน่าจำไหมนั่นมันอีกเรื่อง
ยกตัวอย่าง ข้อคิดที่มักได้จากหนังรักกุ๊กกิ๊ก
การไปจีบหญิงทั้งๆที่มีแฟนที่แสนดีอยู่แล้ว เป็นสิ่งไม่ดี
อาจทำให้เรา จัดคิวลำบาก ปวดกบาล รู้สึกผิด และไม่อยากทำอีก
(เหมือนเคยทำ แต่ไม่เคยนะครับหมู)

ข้อคิดจากหนังน่าจำหรือไม่น่าจำเอาอะไรมาวัด
ไม่ยาก
ถ้ามันน่าจำ เราก็จะจำ ไม่ว่าดูหนังนั้นไปนานแค่ไหนแล้ว
แม้จะลืมรายละเอียดในหนังไปแล้ว แต่เรายังจำความคิดหลักๆนั้นอยู่

MY ARCHITECT (2003) ไม่ใช่หนังที่ผมชอบที่สุด
แต่เป็นหนังที่ผมอยากให้เพื่อนๆที่มีอารมณ์ดีๆและมีเวลาว่างได้นั่งดู
เข้าไปดูแว็บๆได้ในเว็ปนี้
www.myarchitectfilm.com
เสื้อสวย ถึงจะใส่ไม่พอดี ก็ยังเป็นเสื้อสวยวันยันค่ำ

ไม่ขอเล่าเรื่องหนังมาก เอาเป็นว่าหนังน่าดู ก็ไปหาดูกันเอาเอง
ถ้าขี้เกียจหาเอง ยืมผมก็ได้ เดี๋ยวให้ยืม

หนังเป็นเรื่องของสุดยอดสถาปนิกคนนึงชื่อ Louis I. Kahn.
ลูกชายลับๆของเขาเป็นผู้กำกับ และพยายามสืบหาเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อของเขาคนนี้
มีอยู่คนนึงที่เขาไปสัมภาษณ์ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเขาเป็นเพื่อนกับพ่อเขาได้ยังไง
เป็นสถาปนิกด้วยกัน หรือเปล่าเจ้าของบ้านที่ว่าจ้างคาน หรือเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือลูกจ้าง

ผู้กำกับถามว่าคานสอนอะไรให้กับเขา
เขาตอบทันที ว่าคานสอนบทเรียนที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้กับเขา
คานสอนให้เขารู้จักการออกแบบชีวิต

ผมดูหนังเรื่องนี้สามรอบ รอบแรกดูในโรงกับทู (ไม่มีซับไทเทิ้ล แน่นอน ไม่ค่อยรู้เรื่อง)
รอบที่สองดูจากดีวีดีคนเดียว (เพราะอยากรู้เรื่อง ในดีวีดีมันซับ)
รอบที่สามดูจากดีวีดีแผ่นเดิมกับอาจารย์ (เพราะอยากให้อาจารย์ได้ดูเรื่องนี้)
รู้สึกว่าคำตอบนี้มันโดนก็ตอนที่ดูหนังเรื่องนี้รอบที่สองนี่แหละ
มันโดนเพราะมันตอบคำถามบางอย่างที่มันค้างอยู่ในหัวเรามานานแล้ว
ทำไมผมถึงชอบการออกแบบ ทำไมผมถึงรู้สึกชอบความคิดของคนที่ทำงานออกแบบเหมือนกัน
เคยนึกเหมือนกันว่ามาอาจจะเกิดจากการที่คนทำงานด้านนี้ ถูกฝึกให้มีเหตุผลมารองรับความคิด
และต้องสื่อสารความคิดนั้นให้กับลูกค้าให้เข้าใจได้ด้วย ดังนั้นผมจึงเข้าใจเขาได้ง่าย และ
ไม่มีคำตอบอย่าง "ไม่รู้ ก็มันเป็นอย่างนี้เอง ก็ดี" ให้ฟังแล้วอารมณ์ค้าง
เมื่อได้ยินคำตอบนี้จากหนังเรื่องนี้แล้วทำให้เราดีใจที่เราได้เดินมาในทางสายออกแบบ

เพื่อนคนนึง เป็นคนเรียนดีมาแต่ไหนแต่ไร
ได้ทุนระดับประเทศไปเรียนที่มหาวิทยาลัยดังในต่างประเทศ
จนได้เป็นด๊อกเตอร์
ผมก็ดีใจไปกับเขาด้วย เพราะเดาได้ว่าคนเก่งอย่างนี้ก็น่าจะเป็นอย่างนี้
ถามเขาว่าแล้วต้องกลับไปเป็นอาจารย์ เคยคิดอยากเป็นอาจารย์เหรอ
เขาก็ตอบว่า บังเอิญเขาเรียนมาทางนี้ ได้ทุนมาขนาดนี้ มันก็ต้องใช้ทุน
และมันก็ต้องมาเป็นอาจารย์ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ

ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบเพื่อน เพื่อนคนนี้เป็นคนดี ใครๆก็รู้
ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าเพื่อนคิดสั้น
ผมมั่นใจว่าเขาคงมีแผนชีวิตแน่ๆ ไม่งั้นเขาคงไม่เดินมาถึงขนาดนี้
แต่เฉพาะคำตอบของเขา ไม่รวมว่าเบื้องหลังแล้วจริงๆเขาคิดยังไง
เอาเฉพาะตรงคำตอบ เขาทำให้ผมคิดว่า
แล้วจริงๆแล้วเขาอยากเป็นอย่างที่เป็นอยู่หรือเปล่า
เป็นอาจารย์ เป็นด๊อกเตอร์ เป็นผู้เชี่ยวชาญ แน่นอนก็ต้องมีคนนับถือ
มีเงิน มาอะไรอื่นๆตามมามากมาย จะว่าไปมันก็เป็นชีวิตที่ดีอยู่
แต่มันเป็นอย่างที่เขาเคยอยากให้เป็นมาก่อนหรือเปล่า
หรือว่าไม่เคยอยากเลยด้วยซ้ำ

เวลาออกแบบ ใช่ว่าทุกครั้งมันจะเป็นได้ดังใจ
ต้องมีบิดเบี้ยว เติมเสริม มีการทดลองกันบ้าง
มันก็มีความคิดลูกค้า หรือของคนโน้นคนนี้มาเสริม
จนบางครั้งไอ้ชิ้นสุดท้ายออกมาแทบจะจำกันไม่ได้
ไม่อย่างนั้น แบบมันก็เกิดจากความคิดแรกเพ๊ะๆ
ระหว่างขั้นตอนการทำแบบ มันก็ต้องมีสะดุด
มีทดลองอะไรโน่นนี่บ้าง เป็นรสชาติแก้เบื่อ
ให้สนุกกับการออกแบบ
แต่อย่างไร รากมันก็ยังออกมาจากคนคนนั้น
ยังมีราก รู้ขั้นตอน พัฒนาเดิบโตมาตามเวลา

การรู้ว่าอยากให้ตัวเองเป็นคนแบบไหน อยากให้ใครรู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน
อยากเดินไปทางไหน อยาก เป็น อะไร ก็เป็นการออกแบบอยู่อย่างนึง
พรุ่งนี้เช้าจะใส่เสื้อตัวไหน สำหรับงานแบบไหน ก็เป็นการออกแบบ
ร่างสเก็ตช์ ลงมือทำ อยากให้เป็นยังไงก็ทำ เดินหน้าให้เป็นอย่างที่เราคิด
ส่วนเรื่องผลสำเร็จนั้น ให้ตอบตรงๆ ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะสรุปแบบกันเมื่อไหร่
ตัวใครตัวมัน
คงต้องคอยตรวจสอบกันเรื่อยๆว่า เดินมาตามแบบหรือยัง หลุดไปแค่ไหนแล้ว

อาจารย์อีกคนนึง bob gill เคยสอนว่า
การออกแบบ คือ การจัดการ
เขาไม่ได้บอกว่าการออกแบบคือการเสนองานขายลูกค้าให้ได้

ออกแบบชีวิต ไม่ต้องรอดวง ไม่ต้องรอสิ้นเดือน
ผมเองก็ลุ้นของผมอยู่ ตอนนี้อยู่ในช่วงทดลอง
ไม่ซีเรียสครับ ไม่มีตัวป่วน
เพราะออกแบบเอง ลูกค้าก็คือตัวเอง
สบายๆ ขายได้ ทำได้เลย

Sunday, June 11, 2006

แจ๊สเฟซ จุดพลุ งานแต่ง และพลเลิศ

เริ่มที่งานแจ๊สเฟซที่หัวหิน
ดีใจจริงๆที่เกิดงานอย่างนี้ขึ้น
สมัยที่ยังอยู่ที่โน่น เมืองเมทริกซ์
เราก็แอบน้อยใจว่าทำไมเมืองไทย ไม่ค่อยมีกิจกรรมร่วม
เพื่อประชาชนจะได้ทำอะไรด้วยกัน แล้วหันมายิ้มให้กันบ้าง

กลับมานี่ ก็พบว่า มีกิจกรรมเพิ่มมากขึ้นเยอะ
ทั้งที่มีขึ้นมาใหม่ๆ อย่างแจ๊สเฟซนี่
และทั้งพวกที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่เคยรู้ หรือไม่เคยใส่ใจจะไปร่วม
เช่น จุดพลุ วันเฉลิม หรือถ้าจะนับการเดินขบวนไล่มันออกไป
เป็นกิจกรรมร่วมด้วยก็ได้

อยากสารภาพว่า อย่างจุดพลุ ฉลอง 60 ปีในหลวงนี่
ก็ไม่ได้คิดว่าจะไปหรอก แต่ไปเพราะเพื่อนทูเขาชวน
เราก็เออออ (อ่านว่า เออ-ออ แต่เขียนติดกันอย่างนี้แล้วตลกดีแฮะ)
พอไปแล้ว ถึงคนจะเยอะ อากาศจะร้อน รถจะติด
แต่ก็ทำให้เห็นบ้านเมืองเป็นอีกแบบ แบบไหนเหรอ
นึกวิธีมาอธิบายไม่ถูก
รู้สึกเหมือนเรากำลังอยู่ประเทศไทย ขึ้นรถไฟคนแน่นเบียดเสียด
คนก็พูดกันภาษาไทย
ทุกคนก็หัวดำ อากาศก็ร้อน มีเหม็นกลิ่นโน่นกล่ินนี่
แต่รู้สึกว่านี่แหละเมืองไทย บ้านเรา

ใครถามรักชาติไหม ก็ไม่ได้ขนาดนั้น
ส่องกระจกดู เห็นกรามๆ หน้าแบนๆ จมูกบี้ๆ หัวดำๆ
อ้าวคนไทยนี่หว่า ให้ไปรักประเทศอื่นคงประหลาด
ไม่ได้ดีไม่เท่าเขา เราดีไม่เหมือนเขา
ชอบใจบ้างไม่ชอบบ้าง ก็บ้านเรานี่หว่า
ร่วมได้ก็ร่วม ช่วยได้ก็ช่วย พัฒนาตัวเราเองก็คือวิธีพัฒนาชาติอย่างนึง
ส่องกระจกบ่อยๆแล้วกัน จะได้ไม่ลืม หลงว่าตัวเองเป็นนิวยอร์กเกอร์
ผมคนไทย คุณถ้าอ่านภาษาไทยได้ขนาดนี้ ก็คนไทยเหมือนกันแหละ

เออนั่นแหละ นอกเรื่อง กลับมาที่แจ๊สเฟซดีกว่า
อยากจะบอกว่า เพลงเพราะจัง
มีข้อสงสัยอยู่อย่าง
ทำไมฟังวงไทยเล่น เพลงก็เข้าหูกว่า ฝีมือก็ไม่ได้แย่กว่า
แต่มันรู้สึกไม่สะใจไปถึงข้างใน
ในขณะที่วงฝรั่ง ฟังยากกว่า แต่มันช่างสะใจ แน่นปึ๊ก

เพื่อนนักดนตรีบอกว่า มันอาจเป็นที่การเตรียมเครื่องเสียง
การแบ่งหน้าที่ และหน้าตาของนักดนตรีเอง เวลาไหนใครเด่น ไม่แย่งกันเด่น
อันนี้ก็มีส่วน อาจจะจริง

วันนี้ไปงานแต่งงานของเพื่อนสมัยคริสเตียนมา
ฟังเขาพูดบนเวทีแล้วแอบยิ้ม ประทับใจทั้งเพื่อนและเจ้าสาวของเพื่อน
งานนี้เพื่อนคงทุ่มเงินไปหลาย แต่เราก็ไม่ได้ติดใจตรงนั้น
งานเพื่อนงานนี้ทำให้เรานึกได้ว่า
งานอื่นๆ อาจจะใช้เงินอย่างนี้ หรืออาจจะมากกว่านี้
แต่ความรู้สึกในงานอาจไม่มากอย่างนี้
เพื่อนเราตั้งใจ ให้มันเป็นงานสำคัญงานนึงจริงๆ

งานแต่งงานน่าจะเป็นงานที่นอกจากจะมาบอกแขกว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวรักกันแล้ว
งานแต่งงานน่าจะเป้นงานที่ทำให้แขกมีความสุขกับการที่ได้เห้นคนรักกันด้วย
ไม่ใช่แค่ส่งข้อมูลแห้งๆ ขอความรู้สึกด้วย
ไม่ได้มีไว้แสดงศักยภาพในการหาสถานที่แสนแพง ศักยภาพในการเชิญเจ้าภาพใหญ่โต
ขึ้นมาพูดบนเวทีตามสูตรที่เคยพูดมาแล้วในงานแต่งทุกงานที่ผ่านมา

งานแต่งงานมีไว้ให้คนแบ่งปันความรู้สึก ความผูกพันธ์ของบ่าวสาว
จริงๆแล้วมันน่าจะอบอุ่น เหมือนงานที่เราได้ไปมาวันนี้
ดีใจกับเพื่อนจริงๆ และขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆที่ได้จากงาน

ระหว่างงานก็ได้เจอเพื่อนเก่าๆหลายคน
พบว่าเพื่อนหน้าตาดีขึ้น ไม่เหมือนเราที่ออกจะไปทางเสี่ยๆ (แย่จัง)
บางคนนอกจากหน้าตาดีขึ้นแล้ว ยังมีลูกแล้วด้วย
เช่นพลเลิศ
พลเลิศเป็นคนดี ดีจริงๆไม่ประชด
ดีใจกับภรรยาพลเลิศที่ได้คนดีเป็นคู่ชีวิต และดีใจกับลูกพลเลิศที่
ได้มีพ่อที่น่าภูมิใจ เอาไปอวดเพื่อนๆได้ แต่อย่าไปบอกเพื่อนๆนะว่าพ่อชื่ออะไร
(การพลาดบอกชื่อพ่อให้เพื่อนรู้นี่ ไม่ฉลาดนะหลานๆ)
พลเลิศดีแค่ไหน ผมคงไม่มาสาธยายในนี้ เอาเบอร์พลเลิศ แล้วโทรไปถามเองเลยแล้วกัน
02-545-6679
(ไม่ต้องโทรนะ เบอร์ผมมั่วเอา)

เข้าเรื่องๆ
ผมเล่าให้พลเลิศฟังเรื่องว่าทำไมวงไทย ฝีมือดีแท้ๆ แต่ทำไมฟังแล้วมันไม่ถึงกึ๋นเหมือนวงฝรั่ง (วะ)
พลเลิศก็เป้นนักดนตรี พลเลิศตอบไม่ยาว
พลเลิศบอกว่า พ่อพลเลิศ (ชื่ออะไรไม่รู้ จำไม่ได้)...
เอาใหม่ พ่อพลเลิศเคยบอกว่า ถ้าให้ฝรั่งมาเล่นดนตรีไทย มันก็เล่นได้ไม่ถึงกึ๋นเหมือนกัน
...
ชอบๆ พลเลิศ
เขาเป็นคนดี

Friday, June 02, 2006

ไอเดียใหม่

เนื่องจากกินเผ็ดไม่ได้ ทำให้ผมกินอาหารอร่อยหลายๆอย่างไม่ได้
เพียงเพราะว่ามันเผ็ด
บางอย่างต้องขอยืมคำของแม่มาพูด เผ็ดอย่างไม่มีชาติตระกูล
เผ็ดจนขม เผ็ดจนต้องขอด่าหน่อยเหอะ
มีร้านข้าวแกงร้านหนึ่งแถวลาดกระบัง
เป็นที่ร่ำลือ ร้านป้าแกชื่อ ร้านป้าเตี้ย (แต่ต้องเอา ห.หีบ ไปแทนที่ ต.เต่า นะครับ)
เพียงเพราะป้าแกทำกับข้าวอร่อย แต่เผ็ดมาก
เด็กๆไปกินจริงมักอุทานว่า โหย เผ็ด เตี้ยๆ
ตั้งแต่นั้นมา ป้าแกจึงถูกเรียกว่า ป้าเตี้ย ไปโดยปริยาย
(อย่าลืมเอา ห.หีบ ไปแทนที่ ต.เต่า)

หรือว่าจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำเบอร์หก
สมัยผมอยู่ประถม ร้านนี้เป็นที่นิยมของนักเรียนมาก
พักกลางวันปุ๊ป เป็นต้องแถวยาว
อดทนต่อแถวกว่าจะได้กินก๋วยเตี๋ยวต้มยำจากร้านเบอร์หกเลื่องชื่อ
คาดว่าที่แถวยาวได้ทันทีขนาดนั้น
ต้องเป็นเพราะเด็กนักเรียนยอมแอบหนีเรียนก่อนพักกลางวัน
เพื่อจะได้มากินก๋วยเตียวต้มยำร้านเบอร์หกก่อนใครเพื่อนนั้นทีเดียว

มีอยู่วันนึง คุณพี่ขายก๋วยเตี๋ยวที่เป็นภรรยาของครูพละจากโรงเรียนสตรีฝั่งตรงข้าม
อาจจะมีปากเสียงกับคุณครูพละที่เป็นสามีมาก จนเหลือปากเสียงมาลงที่เด็กนักเรียน
ความซวยจึงมาลงที่เด็กนักเรียน ตัวป้อมๆ หัวเกรียนๆ หน้าใส ใจซื่อ อย่างผม
ต่อคิวมาตั้งนาน เลยได้โอกาสสั่ง
"พี่ครับ ขอเส้นเล็กต้มยำไม่ใส่พริกชามนึง"
ต้มยำไม่ใส่พริก มันยากตรงไหน ผมคิด
ก็ใส่ถั่วคั่วบด มะนาว น้ำปลา น้ำตาล สิวะ (ตอนนั้นอยู่ประถม จริงๆแล้ว ยังไม่ใช้คำว่า"วะ"
ต่อท้ายประโยค ผมเติมคำนี้เอาเอง เพื่อให้เรื่องมันออกรส เหมือนต้มยำ)
กินเผ็ดไม่ได้อย่างเดียว ถึงกับต้องอดกินถั่ว และมะนาว
และรสชาติที่เลื่องลือจึงต้องมาต่อคิวกันขนาดนี้เชียวหรือ...วะ

นั่นแหละ แล้วพี่ก็ตอบว่า
"ต้มยำไม่ใส่พริก ต้องกลับไปทำกินเองที่บ้านนะน้องนะ"
ผมตอบกลับ
"ก็จะแหก (เปลี่ยน ห.หีบ เป็น ด.เด็ก) มึงก็แค่ไม่ตักพริกใส่
มันยากตรงไหนวะ"

โกหกครับ จริงๆแล้วผมตอบ
"งั้นเอาก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กน้ำก็ได้ครับ"
พร้อมกับนึกในใจว่า แล้วกูมาต่อคิวตั้งนานทำไมวะเนี่ย

จบเรื่องก๋วยเตี๋ยวต้มยำเบอร์หก
อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับเรื่องที่ผ่านมาแล้วเกือบยี่สิบปี
แต่ผมยังจำบรรยากาศ และเรื่องราวในวันนั้นได้ขนาดนี้
ไม่เล็กเลยสำหรับ นักเรียน หัวเกรียน ตัวอ้วน(นิดหน่อย) หน้าใส ใจซื่อ ไม่กินเผ็ด อย่างผม

ด้วยเหตุผลที่สาธยายมาเนิ่นนาน

ผมจึงขอเสนอให้นักวิทยาศาสตร์ช่วยกันพัฒนา
ยากันเผ็ดครับ ให้ชื่อยานี้ว่า ยาเผ็ดหาย ก็ได้ แล้วแต่ใครจะเสนอ
ถ้าใคร เช่นผม กินเผ็ดไม่ได้ ให้อมยาเม็ดนี้
กินยาเม็ดนี้ หรือกลั้วคอด้วยยาเม็ดนี้
แล้วประสาทล้ินจะรับความเผ็ดไม่ได้ แต่ยังรับรสอื่นๆได้ตามปกติ
แล้วยังสามารถ แยกความแตกต่างระหว่าง เผ็ดกระเทียม กับเผ็ดพริก ได้ด้วย
เพราะถึงผมไม่กินเผ็ด แต่ก็แค่เผ็ดพริกเท่านั้น ผมชอบกระเทียม ผมชอบขิง และเครื่องเทศอื่นๆ
พริกเท่านั้นที่ผมกินไม่ได้ มันขม และมันเผ็ดนาน

ส่ิงที่น่าคิดก็คือ แล้วถ้ามันไม่เผ็ดมันจะไม่อร่อยไปเลยหรือเปล่า
ผมคิดว่า แต่ถ้ามันเผ็ด ผมก็ไม่มีโอกาสจะรู้ว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อยอยู่ดี


ใครจบวิทยาศาสตร์ทางด้านนี้ แล้วบังเอิญมารู้จักใครสักคน ที่บังเอิญมารู้จักใครอีกสักคน
แล้วบังเอิญใครสักคนนั้นดันซวยมารู้จักผม แล้วแนะนำให้ได้มาอ่านบล๊อกนี้
ช่วยเอาไอเดียนี้ไปพัฒนา จะได้ผลบุญประเสิรฐ

ช่วยคนอ้วนให้อ้วนขึ้น ช่วยคนดีได้มีความสุข ทำให้เขาได้เห็นว่าคนเราทำดี แล้วก็ย่อมได้ดีตอบแทน
ด้วยการกินอะไรๆได้มากขึ้น อร่อยขึ้น
และได้เห็นรอยย้ิมจากเด็กนักเรียนประถม
หัวเกรียน ตัวอ้วน(นิดหน่อย หรือจะเรียกว่าอวบก็ได้) หน้าใส ใจซื่อ ไม่กินเผ็ด

ป้าเตี้ย (อย่าลืมเอา ห.หีบ ไปแทนที่ ต.เต่า นะครับ)
ก็อาจจะถูกเรียกด้วยชื่อจริงๆ
ก๋วยเตี๋ยวเบอร์หก ถ้ายังขายอยู่ อาจจะมีแถวยาวขึ้น
ทำให้ไม่ต้องมีปากเสียงกับสามีเหลือเฟือ จนมาลงที่เด็กนักเรียน
สมองของเด็กนักเรียนคนนั้น แทนที่จะเอาไปใช้จำเรื่องเตี้ยๆพรรค์นั้น
ก็เอามาจำเรื่องดีๆอื่นๆแทน

ผลบุญจะมาหาท่านที่ผลิต ยากันเผ็ด
ให้ร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง
สาธุ

เรื่องมันไม่เกี่ยวกัน (ภาค2) (แปลว่าต้องอ่านหลังภาค1)

ต่อจากภาคที่แล้ว
ไม่ได้เอามาลงพร้อมกัน เพราะ มันไม่เกี่ยวกันมากไปหน่อย

_________________

เรื่องสุดท้าย
เมื่อคืนแม่เล่าว่า เพื่อนแม่คนนึงคุยกับลูกสาวที่กำลังขับรถ
ลูกสาวบอกพ่อทางโทรศัพท์ว่ารักพ่อนะ
แล้วสายโทรศัพท์ก็หายไปโดยไม่ได้ถูกกดวาง
พ่อนึกว่าลูกทำโทรศัพท์หล่น
ภายหลังทราบว่าลูกสาว ขับรถชนกำแพงข้างทางด่วน เสียชีวิต
สรุปเอาว่าลูกสาวทำโทรศัพท์หล่น ก้มลงไปควานหา ทำให้เสียหลัก
รถเหเข้าไปชนกำแพง
เพื่อนห่างๆคนหนึ่ง ก็เคยเสียชีวิตด้วยการก้มลงไปเก็บของที่พ้นรถเช่นกัน
น่ากลัว

มีความคิดแว๊บมาน่าเขียน
ว่าคำว่ารัก นี่มันช่างสั้นในเสียง แต่มันกังวาลนานในความรู้สึก
คำว่ารักที่ลูกสาว พูดให้พ่อคำนั้น คงอยู่ในตัวพ่อเขาอีกนาน

คำสั้นๆคำเดียว แต่ความหมายมันช่างเป็นนามธรรมเหลือเกิน

____________________________________________________________
ก็อบมาให้อ่านจาก
www.m-w.com

love
Pronunciation: 'l&v
Function: noun
Etymology: Middle English, from Old English lufu;
akin to Old High German luba love, Old English lEof dear, Latin lubEre, libEre to please
1 a (1) : strong affection for another arising out of kinship or personal ties
(2) : attraction based on sexual desire : affection and tenderness felt by lovers
(3) : affection based on admiration, benevolence, or common interests
b : an assurance of love
2 : warm attachment, enthusiasm, or devotion
3 a : the object of attachment, devotion, or admiration
b (1) : a beloved person : DARLING -- often used as a term of endearment
(2) British -- used as an informal term of address
4 a : unselfish loyal and benevolent concern for the good of another: as
(1) : the fatherly concern of God for humankind
(2) : brotherly concern for others b : a person's adoration of God
5 : a god or personification of love
6 : an amorous episode : LOVE AFFAIR
7 : the sexual embrace : COPULATION
8 : a score of zero (as in tennis)
9 capitalized, Christian Science : GOD
- at love : holding one's opponent scoreless in tennis
- in love : inspired by affection
____________________________________________________________

ยังอยากไปเปิดหาพจนานุกรมด้วย
เว็ปนี้
http://rirs3.royin.go.th/riThdict/lookup.html
เขียนว่า รัก:
ชอบอย่างผูกพันพร้อมด้วยชื่นชมยินดี.

(ความหมายสั้นจังวะ_นอร์ท)
____________________________________________________________

อันนี้เอามาจาก วิกิ พีเดีย อ่านดี อ่านยังไม่จบ
อยากอ่านให้จบ ก็ไปอ่านต่อกันเอาเองนะครับ ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Love

Love might best be defined as acting intentionally, in sympathetic response to others to promote overall well-being.
Or to put it simply, "love responds intentionally to promote well-being" (Thomas Jay Oord).
Love promotes overall flourishing, but often focuses on those close at hand.

Love is a condition or phenomenon of emotional primacy, or absolute value.
Love generally includes an emotion of intense attraction to either another person, a place, or thing;
and may also include the aspect of caring for or finding identification with those objects, including self love.
Love can describe an intense feeling of affection, an emotion or an emotional state. In ordinary use,
it usually refers to interpersonal love, an experience usually felt by a person for another person. Love is commonly considered impossible to describe.

____________________________________________________________


แหม มันช่างน้ำเน่า
เพลงรัก ก็อธิบายกันมาเยอะแล้ว เยอะจนเขาเรียกกันว่าเพลงน้ำเน่า ละครน้ำเน่า
และ บล๊อกน้ำเน่า

อ่านแล้วก็ยังไม่โดนนัก
ก็อย่างที่บอก อะไรที่มันเป็นนามธรรมมาก
แปลงเป็นรูปธรรมยาก
พยายามกันมามากแล้ว ก็ยังพยายามกันอยู่

เจตนาอยากจะช่วยให้ฟังเพลงรักเพราะขึ้น
ดูหนัง ดูละครรัก ซึ้งขึ้น
เวลาคนบอกรัก จะได้มีความหมายขึ้น
แล้วก็
เวลาบอกรักใคร ใครก็อย่าไปนึกว่าคำมันสั้น
เวลาบอกคำสั้นๆ ให้เข้าไปเซิร์ชหาความหมายด้วย
คำนึงถึงความรู้สึกของคนพูด
ใจความมันยาวนะ

เรื่องมันไม่เกี่ยวกัน (ภาค1) (แปลว่าต้องอ่านก่อนภาค2)

เรื่องแรก

นั่งอ่านบล๊อกคนอื่น อ่านแล้วเลือดการเมืองมันร้อน
หัวใจสูบฉีดเลือดแรงขึ้นนิด ก็ต้องปรามใจตัวเองว่าอย่าร้อนไป
เพราะถ้าร้อนไปมันจะร้อนเปล่า
มีปัญหาก็ต้องแก้ปัญหา
แต่ปัญหาการเมือง ให้ไปเลือกตั้งก็ไปแล้ว ก็เป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้
จะให้ไปเดินขบวน เจ็บกลับมาใครเจ็บแทน คิดแล้วไม่คุ้ม
อีกอย่าง ถ้าให้เลือกเอาฝ่ายคนรวยคนนึง กับคนรวยอีกคนนึง
ขออยู่ฝ่ายประชาชน คนธรรมดาดีกว่า

ปรามใจอ่านเอาข้อมูล อย่าเก็บเอาไปสุมเป็นมูลปวดกบาล

ข่าวพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก มาแว็บเดียวหาย
เอามาเสพให้เสียว แต่ไม่ให้สุด
มีทางให้เลือกอยู่สองทาง คือให้คุ้นอารมณ์ค้าง
ไม่ก็เลิกฟังข่าวมันซะเลย

แล้วประเทศเราก็จะเจริญขึ้นๆ
คนไทยก็จะฉลาดขี้นๆ
ได้อย่างไร

จบเรื่องแรก เริ่มเรื่องต่อมา
บล๊อกเรามีคนมาอ่าน 77 คนเอง เป็นตัวเองสัก 60 ได้มั๊ง
เพื่อนเราเขามีคนมาอ่านเป็นร้อยๆ หกร้อยเจ็ดร้อย
คาดเอาเองว่า หากเอารูปตัวเองมาแปะ
ให้ใครเข้ามาเห็นหน้าเราก่อน
คนคงมาอ่านกันมากขึ้น
นับว่าคิดได้ดี ฉลาด

**********************

อ่านจบแล้ว ไปอ่าน ภาค2